เก็งข้อสอบวิชาวินัยมุข นักธรรมชั้นตรี - [พระเณร]
๑. |
ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตเรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? เรียกว่า นิสสัย ฯ มี ๔ อย่าง ฯ คือ ๑) เที่ยวบิณฑบาต ๒) นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๓) อยู่โคนต้นไม้ ๔) ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ |
๒. |
นิสสัย ๔ ในอนุศาสน์ ๘ อย่าง หมายถึงอะไร ? มีอะไรบ้าง ? หมายถึง ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต ฯ มี ๑) เที่ยวบิณฑบาต ๒) นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ๓) อยู่โคนไม้ ๔) ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ |
๓. |
อกรณียกิจ คือกิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? มี ๔ อย่าง ฯ คือ ๑) เสพเมถุน ๒) ลักของเขา ๓) ฆ่าสตัว์ ๔) พดูอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน ฯ |
๔. |
ภิกษุปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาดีแล้วจะได้รับประโยชน์อย่างไร ? ย่อมได้รับประโยชน์ คือ ปฏิบัติศีล ทำให้เป็นผู้มีกายวาจาเรียบร้อย , ปฏิบัติสมาธิ ทำให้ใจสงบมั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน ปฏิบัติปัญญา ทำให้รอบรู้ในกองสังขาร ฯ |
๕. |
อรณียกิจ ๔ คืออะไร ? ข้อที่ ๓ ว่าอย่างไร ? คือ กิจที่ไม่ควรทำ ๔ ฯ ข้อที่ ๓ ว่า ฆ่าสตัว์ ฯ |
๖. |
ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างไรจึงชื่อว่ามีศีล ? ภิกษุสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย เว้นข้อที่ทรงห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาติ จึงชื่อว่า มีศีล ฯ |
๑. |
พระภิกษุผู้รักษาพระวินัยดีโดยถูกทางแล้วย่อมได้อานิสงส์อะไร ? ย่อมได้อานิสงส์ คือความไม่ต้องเดือดร้อนใจ ฯ |
๒. |
อาบัติ คืออะไร ? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติมี ๖ อย่าง จงบอกมาสัก ๓ อย่าง ฯ อาบัติ คือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ฯ ๑) ต้องด้วยไม่ละอาย ๒) ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ ๓) ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง ๔) ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ๕) ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ๖) ต้องด้วยลืมสติ ฯ |
๓. |
อาบัติคืออะไร ? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติ ๖ อย่างนั้น อย่างไหนเสียหายมากที่สุด ? อาบัติ คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ฯ ต้องด้วยไม่ละอาย จัดว่าเสียหายมากที่สุด ฯ |
๔. |
พระวินัย คืออะไร ? ภิกษุรักษาพระวินัยแล้วย่อมได้อานิสงส์อะไร ? พระวินัย คือ พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ ได้อานิสงส์ ๓ ประการ คือ ๑) ไม่เกิดวปฏิสาร คือ ไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง ๒) ได้รับความแช่มชื่นใจเพราะรู้สึกว่า ตนประพฤติดีงามแล้ว ๓) มีความองอาจในหมู่ภิกษุผู้มีศีล |
๕. |
อาบัติ คืออะไร ? ว่าโดยชื่อมีอะไรบ้าง ? อาบัติ คือโทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ฯ ว่าโดยชื่อ มี ๗ อย่าง คือ ๑) ปาราชิก ๒) สังฆาทิเสส ๓) ถุลลัจจัย ๔) ปาจิตตีย์ ๕) ปาฏิเทสนียะ ๖) ทุกกฎ ๗) ทุพภาสิต ฯ |
๖. |
จงอธิบายความหมายของอาบัติต่อไปนี้ ก) สเตกิจฉา ข) สจิตตกะ ก) สเตกิจฉา ได้แก่ อาบัติที่แก้ไขได้ ข) สจิตตกะ ได้แก่ อาบัติที่ต้อง เพราะมีเจตนา ฯ |
๗. |
พุทธบัญญัติและอภิสมาจาร คืออะไร? ทั้ง ๒ รวมเรียกว่าอะไร ? พุทธบัญญัติ คือข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้น เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดด้วยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง อภิสมาจาร คือขนบธรรมเนียมที่ทรงแต่งตั้งขึ้น เพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ ทั้ง ๒ รวมเรียกว่า พระวินัย ฯ |
๑. |
สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์มีเท่าไร ? สิกขาบทว่าด้วยปาราชิกมีอะไรบ้าง ? สิกขาบทมาในพระปาติโมกข์ มี ๒๒๗ สิกขาบท ฯ สิกขาบทว่าด้วยปาราชิก มี ๔ คือ ๑) เสพเมถุน ๒) ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ไดให้ได้ราคา ๕ มาสก ๓) ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ๔) ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ฯ |
๒. |
สิกขากับสิกขาบท ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? สิกขา คือ ข้อที่ภิกษุต้องศึกษา มี ๓ ได้แก่ สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา สิกขาบท คือ พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ เป็นสิกขาบทหนึ่ง ๆ มี ๒๒๗ สิกขาบท ได้แก่ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ และอธิกรณสมถะ ๗ ฯ |
๓. |
อะไรเรียกว่า สิกขาบท ? มาจากไหน ? พระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ เรียกว่า สิกขาบท ฯ มาในพระปาติโมกข์ ๑ มานอกพระปาติโมกข์ ๑ ฯ |
๑. |
ภิกษุทำคนอื่นให้ถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? ถ้าไม่จงใจไม่เป็นอาบัติ แต่ถ้าจงใจประสงค์จะให้เขาตายเป็นอาบัติปาราชิก ฯ |
๒. |
ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติอะไร ? ฆ่ามนุษย์ให้ต้าย ต้องอาบัติปาราชิก ฆ่าอมนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัตถุลลัจจัย ฆ่าสัตว์ดรัจฉานให้ตาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ |
๓. |
ปาราชิกทั้ง ๔ สิกขาบท เป็นสจิตตกะหรืออจิตตกะ ? เพราะเหตุใด ? ปาราชิกทั้ง ๔ สิกขาบท เป็นสจิตตกะ ฯ เพราะต้องด้วยจงใจ เกิดขึ้นโดยมีเจตนาเป็นสมุฏฐาน ฯ |
๔. |
ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติไม่มีมูลเป็นอาบัติอะไรบ้าง ? โจทกด์ว้ยอาบัติปาราชิก เป็นอาบัติสังฆาทิเสส โจทก์ด้วยอาบัตินอกนี้ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ฯ |
๕. |
ในอทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง ? ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก ทรัพย์มีราคาต่ำกว่า ๕ มาสก แต่สูงกว่า ๑ มาสก เป็นวัตถุแห่งถุลลัจจัย ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสกลงไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฎ ฯ |
๖. |
สังหาริมทรัพย์ และ อสังหาริมทรัพย์คือทรัพย์เช่นไร ? ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุดในเพราะลักทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้นเมื่อใด ? สังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ได้ เช่น สัตว์ เงินทอง เป็นต้น อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน ต้นไม้ เรือน เป็นต้น สำหรับสังหาริมทรัพย์ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุดในเมื่อทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่เดิม ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อเจ้าของทอดกรรมสิทธิ์ ฯ |
๑. |
ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกายอนุปสัมบัน ต้องอาบัติอะไร ? ๑) อนุปสัมบันเป็นหญิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๒) อนุปสัมบันเป็นบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๓) อนุปสัมบันเป็นชาย ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ |
๒. |
ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกอย่างไร ภิกษุผู้โจทก์จึงต้องอาบัติสังฆาทิเสส ? ภิกษุโกรธเคืองแกล้งโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ฯ |
๓. |
คำว่า อาบัติที่ไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร ? ภิกษุโจทก์ภิกษุด้วยอาบัติไม่มีมูลต้องอาบัติอะไร ? กำหนดโดยอาการ ๓ คือ ไม่ได้เห็นเอง ๑ ไม่ได้ยินเอง ๑ ไม่ได้เกิดรังเกียจสงสัย ๑ ว่าภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ โจทก์ด้วยอาบัติปาราชิกต้องอาบัติสังฆาทิเสส โจทก์ด้วยอาบัติอื่นนอกจากอาบัติปาราชิก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ |
๔. |
สังฆาทิเสส มีกี่สิกขาบท ? ภิกษุต้องอาบัตินี้จะพ้นได้ด้วยวิธีอย่างไร ? มี ๑๓ สิกขาบท ฯ พ้นได้ด้วยวิธีอยู่กรรม ที่เรียกว่า วุฏฐานคามินี ฯ |
๕. |
ภิกษุประพฤติอย่างไร ชื่อว่าประทุษร้ายตระกูล ? ประจบคฤหัสถ์ ฯ |
๑. |
ผ้าไตรจีวร ที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอธิษฐานไว้ใช้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? ผ้าไตรจีวร มี ๓ อย่าง ฯ คือ ๑) สังฆาฏิ (ผ้าคลุม) ๒) อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม) ๓) อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ฯ |
๒. |
ไตรจีวร อติเรกจีวร ได้แก่จีวรเช่นไร ? ไตรจีวร ได้แก่จีวร ๓ ผืน ประกอบด้วยอุตตราสงค์ (ผ้าห้ม) อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) และสังฆาฏิ (ผ้าคลุมหรือผ้าทาบ) อติเรกจีวร ได้แก่ ผ้ามีขนาดกว้าง ๔ นิ้ว ยาว ๘ นิ้ว ซึ่งอาจนำไปทำเป็นเครื่องนุ่งห่มได้นอกจากผ้าที่อธิษฐาน ฯ |
๓. |
ภิกษุขอจีวรต่อสามีของน้องสาวแล้วได้มา เธอจะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? ถ้าสามีของน้องสาวเป็นญาติก็ดีมิใช่ญาติแต่ปวารณาก็ดีไม่ต้องอาบัติ ถ้ามิใช่ญาติและมิได้ปวารณาเป็นเพียงน้องเขย ต้องนิสสคัคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย (คือในเวลาจีวรถูกขโมยหรือเสียหาย) ฯ |
๔. |
ไตรจีวรประกอบด้วยผ้าอะไรบ้าง ? ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร ต้องปฏิบัติอย่างไร ? ประกอบด้วย ผ้าสังฆาฏิ ผ้าอุตตราสงค์ และผ้าอันตรวาสก ฯ ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรต้องสละไตรจีวรผืนที่อยู่ปราศจากนั้นแล้วแสดงอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เมื่อได้รับผ้ากลับคืนมาแล้ว ต้องฐานใหม่ ฯ |
๕. |
จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ๑) อติเรกจีวร ๒) จีวรกาล ๓) อนุปสัมบัน ? ๑) อติเรกจีวร หมายถึง จีวรที่ไม่ใช่จีวรอธิษฐาน ๒) จีวรกาล หมายถึง คราวที่เป็นฤดูถวายจีวร (คืออยู่จำพรรษาแล้ว ถ้าไม่ได้กรานกฐินนับแต่วันปวารณาไป ๑ เดือน ถ้าได้กรานกฐินเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือนในฤดูหนาว) ๓) อนุปสัมบัน หมายถึง บุคคลที่มิใช่ภิกษุ ฯ |
๖. |
ไตรจีวร มีอะไรบ้าง ? ภิกษุอยู่ปราศจากแม้คืนหนึ่ง ต้องอาบัติอะไร ? มีสังฆาฏิคือผ้าคลุม อุตตราสงค์คือผ้าห่ม และอันตรวาสกคือผ้านุ่ง ฯ ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ |
๗. |
ผ้าไตรครอง มีอะไรบ้าง ? ต่างจากอติเรกจีวรอย่างไร ? ผ้าไตรครอง มี สังฆาฏิ อุตตราสงค์ อันตรวาสก ฯ ต่างกันอย่างนี้ ผ้าไตรครองเป็นผ้าที่ภิกษุอธิษฐานมีจำนวนจำกัด คือ ๓ ผืน อติเรกจีวร คือผ้าที่นอกเหนือจากผ้าไตรครอง มีได้ไม่จำกัดจำนวน ฯ |
๘. |
คำว่า ปวารณากำหนดปัจจัย หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า ปวารณาที่กำหนดชนิดสิ่งของ เช่น จีวร หรือบิณฑบาตเป็นต้น หรือ กำหนดจำนวนสิ่งของ เช่น ผ้ากี่ผืน บิณฑบาตมีราคาเท่าไรเป็นต้น ฯ |
๑. |
ภิกษุรู้อยู่น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน เพื่อบุคคลอื่น เพื่อเจดีย์เพื่อสงฆ์หมู่อื่นจะเป็นอาบัติอะไรได้บ้าง ? น้อมมาเพื่อตน เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ น้อมมาเพื่อบุคคลอื่น เป็นอาบัติปาจิตตีย์ น้อมมาเพื่อเจดีย์และเพื่อสงฆ์หมู่อื่น เป็นอาบัติทุกกฎ ฯ |
๒. |
อติเรกจีวร อติเรกบาตร ได้แก่จีวรและบาตรเช่นไร ? จีวรและบาตรชนิดนี้ภิกษุเก็บไว้ได้กี่วัน ? ได้แก่ จีวรและบาตร นอกจากจีวรและบาตรที่อธิษฐาน ฯ เก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ฯ |
๓. |
เภสัช ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? ภิกษุรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้กี่วันเป็นอย่างยิ่ง ? ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เก็บไว้ได้ ๗ วัน ฯ |
๔. |
ภิกษุรู้อยู่น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตนต้องอาบัติอะไร ? ลาภนั้น ได้แก่อะไรบ้าง ? ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ ลาภ ได้แก่จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและเภสัช ซึ่งเรียกว่า ปัจจัย ๔ และของที่เป็นกัปปิยะอย่างอื่นอีก ฯ |
๑. |
พูดอย่างไร ชื่อว่าส่อเสียดภิกษุ ? ภิกษุพูดอย่างนั้นต้องอาบัติอะไร ? เก็บความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้นมาบอกข้างนี้ ด้วยประสงค์จะให้เขารักตน หรือให้เขาแตกกัน ชื่อว่า ส่อเสียดภิกษุ ฯ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ |
๒. |
ภิกษุนอนในที่มุงที่บังเดียวกันกับสามเณรจะเป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ? นอนได้ ๓ คืน ไม่เป็นอาบัติ เกินกว่านั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ |
๓. |
ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกับอนุปสัมบัน เป็นอาบัติหรือไม่อย่างไร ? ถ้าเป็นผู้ชายเกินกว่า ๓ คืน เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าเป็นผู้หญิงแม้คืนแรกเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ฯ |
๔. |
ภิกษุขอปัจจัย ๔ ต่อผู้ที่ปวารณาไว้มีพระพุทธานุญาตให้ปฏิบัติอย่างไร ? ให้ปฏิบัติดังนี้ ถ้าเขาปวารณาโดยมีกำหนดเวลาพึงขอได้เพียงกำหนดเวลานั้น แต่ถ้าเขาปวารณาโดยมิได้กำหนดเวลา พึงขอได้เพียง ๔ เดือนเท่านั้น เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีกหรือปวารณาเป็นนิตย์ ฯ |
๕. |
ภิกษุซ่อนผ้าอาบน้ำฝน บาตรจีวรกล่องเข็ม ด้าย ของเพื่อนภิกษุหรือสามเณรเพื่อล้อเล่น เป็นอาบัติอะไรบ้าง ? ซ่อนผ้าอาบน้ำฝน ด้าย ของเพื่อภิกษุเป็นอาบัติทุกกฎ ซ่อนบาตรจีวรกล่องเข็มของเพื่อนภิกษุเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ซ่อนของสามเณรทุกอย่างเป็นทุกกฎ ฯ |
๖. |
ภิกษุเข้าบ้านโดยไม่ได้บอกลาภิกษุอื่นผู้มีอยู่ในอาวาส ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? จงอธิบาย ถ้าเข้าบ้านในเวลาเป็นกาล ตั้งแต่เช้าถึงเวลาก่อนเที่ยงวันไม่ต้องอาบัติ ถ้าเข้าบ้านในเวลาวิกาล คือตั้งแต่หลังเที่ยงวันไป ต้องอาบัตอปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีกิจด่วน เช่น ภิกษุถูกงูกัดต้องรีบไปหมอ ภิกษุอาพาธหนัก เป็นต้น ฯ |
๑. |
วัตรที่ภิกษุสามเณรจะต้องศึกษาเรียกว่าอะไร ? มีทั้งหมดกี่ข้อ ? เรียกว่า เสขิยวัตร ฯ มีทั้งหมด ๗๕ ข้อ ฯ |
๒. |
เสขิยวัตร คืออะไร ? ภิกษุไม่ปฏิบัติตาม ต้องอาบัติอะไร ? คือ ธรรมเนียมที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ |
๓. |
เสขิยวัตร คืออะไร ? แบ่งเป็นกี่หมวด ? หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องอะไร ? เสขิยวัตร คือ วัตรหรือข้อปฏิบัติที่ภิกษุจะต้องศึกษา ฯ เสขิยวัตรแบ่งเป็น ๔ หมวด คือ ๑) สารูป ว่าดว้ยกิริยามารยาที่ควรประพฤติในเวลาเข้าไปในหมู่บ้าน ๒) โภชนปฏิสังยุต ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร ๓) ธัมมเทสนาปฏิสังยุต ว่าด้วยกิริยามารยาทในการแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ๔) ปกิณณกะ ว่าด้วยกิริยามารยาท ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะและบ้วนน้ำลาย ฯ หมวดที่ ๒ ว่าเรื่อง โภชนปฏิสังยุต คือกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร ฯ |
๔. |
ข้อว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ นั้นมีอธิบายอย่างไร ? มีอธิบายว่า รับโดยแสดงความเอื้อเฟื้อ ในบุคคลผู้ให้ ไม่ดูหมิ่น และให้แสดงความเอื้อเฟื้อในของที่เขาให้ ไม่ทำดังรับเอามาเล่น หรือเอามาทิ้งเสีย ฯ |
๕. |
ภิกษุฉันพลางทำกิจอื่นพลางจะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ |
๑. |
อธิกรณ์ อธิกรณสมถะ คืออะไร ? อธิกรณ์ คือเรื่องเกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ มี ๔ ประการ คือ ๑) วิวาทาธิกรณ์ ความเถียงกันว่า สิ่งนั้นป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ๒) อนุวาทาธิกรณ์ ความโจทก์กันด้วยอาบัตินั้น ๆ เช่น เป็นอาบัติทุกกฎ ๓) อาปัตตาธิกรณ์ อาบัติทั้งปวง เช่น อาบัติทำให้พ้นโทษ ๔) กิจจาธิกรณ์ กิจที่สงฆจ์ะพึงทำ เช่น การให้อุปสมบท ฯ อธิกรสมถะ คือ ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ ฯ |
๒. |
อธิกรณ์ คืออะไร ? การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้างมาก เรียกว่าอะไร ? อธิกรณ์ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ ฯ การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้างมาก เรียกว่า เยภุยยสิกา ฯ |
๓. |
อธิกรณ์ เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร ? ต้องระงับด้วยอธิกรณ์สมถะอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามสมควรแก่อธิกรณ์นั้น ๆ ฯ |
๔. |
วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ต่างกันอย่างไร ? ววิาทาธิกรณ์ คือความเถียงกันว่า สิ่งนั้นป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ส่วนอนุวาทาธิกรณ์ คือการโจทก์กันด้วยอาบัติ ฯ |
๕. |
อธิกรณสมถะ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? การตัดสินตามเสียงข้างมาก เรียกว่าอะไร ? อธิกรณสมถะ คือ ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ ฯ มี ๗ อย่าง คือ ๑) สัมมุขาวินัย คือ ความระงบัอธิกรณ์ทั้ง ๔ นั้น ในที่พร้อมหน้าสงฆ์ในที่พร้อมหน้าบุคคล ในที่พร้อมหน้าวัตถุ ในที่พร้อมหน้าธรรม ๒) สติวินัย คือ ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่พระอรหันต์ว่า เป็นผู้มีสติเต็มที่เพื่อที่จะไม่ให้ใครโจทก์ด้วยอาบัติ ๓) อมูฬหวินัย คือ ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่ภิกษุผู้หายเป็นบ้าแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้ใครโจทก์ด้วยอาบัติที่เธอทำในเวลาเป็นบ้า ๔) ปฏิญญาตกรณะ คือ ความปรับอาบัติตามปฏิญญาของจำเลยผู้รับเป็นสัตย์ (การแสดงอาบัติ) ๕) เยภุยยสิกา คือ ความตัดสินเอาตามคำของคนมากเป็นประมาณ ๖) ตัสสปาปิยสิกา คือ ความลงโทษแก่ผู้ผิด ๗) ติณวัดถารกวินัย คือ ความให้ประนีประนอมกันทั้ง ๒ ฝ่านไม่ต้องชำระความเดิม (ดังกลบไว้ด้วยหญ้า) ฯ การตัดสินตามเสียงข้างมาก เรียกว่า เยภุยยสิกา ฯ |
๖. |
การเถียงกันด้วยเรื่องอะไรจึงจัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ ? การเถียงกันว่า สิ่งนั้นป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ฯ |