เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก วิชาธรรมวิจารณ์ ปีพ.ศ.๒๕๖๖
-
บุคคลเช่นไรชื่อว่าติดอยู่ในโลก ? ผู้ติดอยู่ในโลกจะได้รับผลอย่างไร ?
ตอบ บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ หลงระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่า ติดอยู่ในโลก ฯ
ผู้ติดอยู่ในโลก ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้นๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียงสามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้ ฯ -
บทอุทเทสว่า "สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้" พระศาสดาตรัสชวนให้มาดูโลก โดยมีพระประสงค์อย่างไร ?
ตอบ ทรงมีพระประสงค์จะทรงปลุกใจพวกเรา ให้หยั่งเห็นซึ้งลงไปถึงคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์แห่งสิ่งนั้นๆ อันคุมเข้าเป็นโลกจะได้ไม่ตื่นเต้น ไม่ติดในสิ่งนั้นๆ รู้จักละสิ่งที่เป็นโทษ ไม่ข้องติดอยู่ในสิ่งที่เป็นคุณ ฯ -
คำว่า มารและบ่วงแห่งมารได้แก่อะไร ? เพราะเหตุไรจึงชื่ออย่างนั้น ?
ตอบ คำว่า มาร ได้แก่ กิเลสกาม อันทำจิตให้เศร้าหมอง ได้แก่ ตัณหาราคะและอรติ เป็นต้น ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ
คำว่า บ่วงแห่งมาร ได้แก่ วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันเป็นของน่าชอบใจ ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติด ฯ -
ทุกขลักขณะ และ ทุกขานุปัสสนา เป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกัน ? จงอธิบาย
ตอบ ต่างกันคือ
ทุกขลักขณะ ได้แก่ ลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขาร เพราะถูกบีบคั้นจากปัจจัยต่าง ๆ
ทุกขานุปัสสนา ได้แก่ ปัญญาพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์ ฯ -
ทุกข์ประจำสังขาร กับ ทุกข์จร ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ทุกข์ประจำสังขาร เป็นทุกข์ที่ต้องมีแก่คนทุกคน ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงพ้น ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ฯ
ทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ประสบด้วยคนหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก พรากจากคนหรือสิ่งอันเป็นที่รัก ปรารถนาไม่ได้สมหวัง ฯ -
ความเป็นอนัตตาแห่งสังขาร พึงกำหนดรู้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
ตอบ ด้วยอาการดังนี้ คือ
๑. ไม่อยู่ในอำนาจ หรือฝืนความปรารถนา
๒. แย้งต่ออัตตา
๓. ความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้
๔. ความเป็นสภาพสูญ ฯ -
ไวพจน์แห่งวิราคะว่า มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง ความเมาในที่นี้ หมายถึง ความเมาในอะไร ?
ตอบ ความเมา หมายถึง ความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น ความถึงพร้อมแห่งชาติ สกุล อิสริยะ และบริวาร หรือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือ ความเยาว์วัย ความหาโรคมิได้ และชีวิต ฯ -
คำว่า “วฏฺฏูปจฺเฉโท ธรรมเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ” มีอธิบายว่าอย่างไร ? และตัดขาดได้อย่างไร ?
ตอบ มีอธิบายว่า วัฏฏะ หมายถึง ความเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลส กรรม และ วิบาก วิราคะเข้าไปตัดความเวียนว่ายตายเกิดนั้น จึงเรียกว่า วฏฺฏูปจฺเฉโท ธรรมเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ ฯ
ตัดขาดได้โดยการละกิเลสอันเป็นเบื้องต้นเสีย ฯ -
ความหลุดพ้นอย่างไรเป็นสมุจเฉทวิมุตติ ? จัดเป็นโลกิยะ หรือ โลกุตตระ ?
ตอบ ความหลุดพ้น ด้วยการตัดกิเลสได้เด็ดขาด ได้แก่อริยมรรค ฯ
จัดเป็นโลกุตตระ ฯ -
ในวิมุตติ ๕ วิมุตติใดจัดเข้าใน อริยมรรค อริยผล นิพพาน ?
ตอบ สมุจเฉทวิมุตติ จัดเข้าในอริยมรรค
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ จัดเข้าในอริยผล
นิสสรณวิมุตติ จัดเข้าในนิพพาน ฯ -
วิมุตติ ๕ อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?
ตอบ ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ
สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ -
วิสุทธิ ๗ แต่ละอย่าง ๆ จัดเข้าในไตรสิกขาได้อย่างไร ?
ตอบ สีลวิสุทธิ จัดเข้าใน สีลสิกขา
จิตตวิสุทธิ จัดเข้าใน จิตตสิกขา
ทิฏฐิวิสุทธิ, กังขาวิตรณวิสุทธิ, มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ, ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ, ญาณทัสสนวิสุทธิ จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ -
จงจัดมรรค ๘ เข้าใน วิสุทธิ ๗ มาดู
ตอบ สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ จัดเข้าใน สีลวิสุทธิ
สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ จัดเข้าใน จิตตวิสุทธิ
สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, จัดเข้าใน ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ฯ -
ธรรมอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นยอดแห่งสังขตธรรม ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ ธรรมชื่อว่า อัฏฐังคิกมรรค เป็นยอดแห่งสังขตธรรม ฯ
เพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ ๆ ของอัฏฐังคิกมรรค ก็เป็นธรรมดี ๆ รวมกันเข้าทั้ง ๘ ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก และเป็นทางเดียวนำไปถึงความดับทุกข์ หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ ฯ -
สันติ ความสงบ เป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ ? จงตอบโดยอ้างพระบาลีมาประกอบ
ตอบ สันติ เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ
ที่เป็นโลกิยะ ได้ในบาลีว่า น หิ รุณฺเณน โสเกน สนฺตึ ปปฺโปติ เจตโส แปลว่า บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต ด้วยร้องไห้ด้วยเศร้าโศกก็หาไม่
ที่เป็นโลกุตตระ ได้ในบาลีว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข แปลว่า ผู้เพ่งสันติพึงละโลกามิสเสีย ฯ -
สันติ ความสงบ หมายถึงสงบอะไร ? ผู้มุ่งสันติสุขอย่างแท้จริง ท่านสอนให้ละอะไร ?
ตอบ สันติ หมายถึง สงบกาย วาจา ใจ ฯ
ผู้มุ่งสันติสุขอย่างแท้จริง ท่านสอนให้ละโลกามิส คือรูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ -
สอุปาทิเสสนิพพาน กับอนุปาทิเสสนิพพาน ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ต่างกัน คือ
สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นความดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ฯ -
ข้อความว่า ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ดังนี้ มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ ภาระ หมายเอา เบญจขันธ์
การปลงภาระ หมายเอาการถอนอุปาทาน
การไม่ถือเอาภาระอื่น หมายเอาการไม่ถือเบญจขันธ์อื่นด้วยอุปาทาน ฯ -
พระบาลีว่า สิญฺจ ภิกฺขุ อิมํ นาวํ แปลว่า ภิกษุเธอจงวิดเรือนี้ คำว่า เรือ และคำว่า วิด ในที่นี้หมายถึงอะไร ?
ตอบ คำว่า เรือ หมายถึง อัตภาพร่างกาย
คำว่า วิด หมายถึง บรรเทากิเลสและบาปธรรมเสีย ให้บางเบาจนขจัดได้ขาด ฯ -
คติ คืออะไร ? สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไรบ้าง ?
ตอบ คติ คือ ภูมิหรือภพเป็นที่ไปหลังจากตายไปแล้ว ฯ
มีคติเป็น ๒ คือ
๑. ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ซึ่งเกิดจากการประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ
๒. สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ซึ่งเกิดจากการประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ ฯ -
สมถกัมมัฏฐาน กับวิปัสสนากัมมัฏฐาน ต่างกันอย่างไร ? หัวใจสมถกัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง ?
ตอบ ต่างกันอย่างนี้ คือ
สมถกัมมัฏฐาน คือกัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องสงบใจ
วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือกัมมัฏฐานเป็นอุบายเครื่องเรืองปัญญา ฯ
หัวใจสมถกัมมัฏฐาน มี ๑) กายาคตาสติ ๒) เมตตา ๓) พุทธานุสสติ ๔) กสิณ และ ๕) จตุธาตุววัตถาน ฯ -
จงแสดงวิธีเจริญมุทิตา พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการเจริญ พอเป็นตัวอย่าง ?
ตอบ วิธีเจริญมุทิตา ดังนี้เมื่อได้เห็นหรือได้ยินมนุษย์หรือสัตว์เป็นอยู่สุขสบายเจริญรุ่งเรืองด้วยสุขสมบัติ พึงทำจิตใจให้ชื่นชมยินดีแล้วแผ่มุทิตาจิตไปว่า สัตว์ผู้นี้หนอบริบูรณ์ยิ่งนัก มีสุขสมบัติมาก จงเจริญยั่งยืนด้วยสุขสมบัติยิ่ง ๆ เถิด เมื่อเจริญอยู่เนือง ๆ ย่อมได้รับผลดี คือจะละความริษยาในสมบัติของผู้อื่นได้ ฯ -
อารมณ์ของสติปัฏฐานมีอะไรบ้าง ? ภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐาน พึงมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ อารมณ์ของสติปัฏฐาน มี กาย เวทนา จิต ธรรม ฯ
ภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานพึงมีคุณสมบัติ ๓ อย่าง ได้แก่
๑) อาตาปี มีความเพียรเผากิเลส
๒) สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ
๓) สติมา มีสติ ฯ -
เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงแยบคาย บรรเทาความเมาในชีวิต ไม่ติดในโลกธรรม ?
ตอบ เจริญพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ
๑. สติ ระลึกถึงความตาย
๒. ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน
๓. เกิดสังเวชสลดใจ ฯ -
บรรดาอาการ ๓๒ ประการนั้น ส่วนที่เป็นอาโปธาตุมีอะไรบ้าง ?
ตอบ ส่วนที่เป็นอาโปธาตุ ได้แก่ ดี เสมหะ น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ฯ -
คนสัทธาจริตมีนิสัยอย่างไร ? คนประเภทนี้ควรเจริญ กัมมัฏฐานบทใด ?
ตอบ คนสัทธาจริต มีนิสัยเชื่อง่ายในถ้อยคำวาจาที่กล่าวดี และชั่ว ที่เป็นบุญและเป็นบาป เป็นต้น ฯ
คนประเภทนี้ควรเจริญ อนุสสติกัมมัฏฐาน ๖ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และ เทวตานุสสติ ฯ -
ในพระพุทธคุณ ๙ ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ, พระพุทธคุณ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล ฯ
เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อน แล้วจึงทรงบำเพ็ญพุทธกิจให้สำเร็จประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ ฯ -
สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ให้ผลต่างกันดังนี้
สมถะ ให้ผลอย่างต่ำทำให้ระงับนิวรณ์ได้ อย่างสูงทำให้เข้าถึงฌานต่างๆ ได้
ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผลพ้นจากสังสารทุกข์ ฯ -
สติปัฏฐาน ๔ อันผู้ปฏิบัติธรรมอบรมให้บริบูรณ์เต็มที่แล้วย่อมเป็นเพื่ออานิสงส์ ๕ ประการ อะไรบ้าง ?
ตอบ เพื่ออานิสงส์ ๕ ประการ ได้แก่
๑. เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย
๒. เพื่อความข้ามพ้นโสกะปริเทวะทั้งหลาย
๓. เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส
๔. เพื่อความบรรลุธรรมที่ควรรู้
๕. เพื่อความทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ฯ -
พระพุทธองค์ทรงแสดงคิริมานนทสูตรที่ไหน ? แก่ใคร ? ว่าด้วยเรื่องอะไร ?
ตอบ พระพุทธองค์ทรงแสดงคิริมานนทสูตรที่ วัดพระเชตวัน เมืองสาวัตถี ฯ
ทรงแสดงแก่ พระอานนท์ ฯ
ว่าด้วยเรื่อง สัญญา ๑๐ ฯ
Tags:
เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก
เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก 2566
เก็งข้อสอบวิชาธรรมวิจารณ์ชั้นเอก
น.ธ.ชั้นเอก