เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นเอก วิชาพุทธานุพุทธประวัติ ปีพ.ศ.๒๕๖๖

เก็งข้อสอบวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก พ.ศ.๒๕๖๖



  1. ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร ? ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุไร ?
    ตอบ ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ
    ที่ได้นามว่า ศากยะ เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ
    ๑) เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง
    ๒) เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ
  2. พระวาจาที่พระมหาบุรุษทรงเปล่งครั้งแรก เรียกว่าอะไร ? ความว่าอย่างไร ?
    ตอบ เรียกว่า อาสภิวาจา ฯ
    ความว่า “เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก (อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส) เราเป็นผู้เจริญแห่งโลก (เชฏฺโฐหมสฺมิโลกสฺส) เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก (เสฏฺโฐหมสฺมิโลกสฺส) ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย (อยมนฺติมา ชาติ) บัดนี้ภพใหม่มิได้มี (นตฺถิทานิปุนพฺภโว)”
  3. พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตุอะไร ?
    ตอบ เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่าง แจ่มแจ้งครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ
  4. สตานุสารีวิญญาณ คืออะไร ? เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษ ความว่าอย่างไร ?
    ตอบ สตานุสารีวิญญาณ คือ วิญญาณไปตามสติ ฯ
    เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษความว่า ทุกรกิริยานี้จักไม่เป็นทางเพื่อการตรัสรู้ แต่อานาปานสติปฐมฌาน จักเป็นทางเพื่อการตรัสรู้แน่ ฯ
  5. พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร ? ที่ไหน ? และได้รับผลอย่างไร ?
    ตอบ มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตาม ฯ
    ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯ
    ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ
  6. พระพุทธเจ้าหลังจากได้ตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งอุทานในยามสุดท้ายว่าอย่างไร ?
    ตอบ ทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดมืดให้สว่างฉะนั้น ฯ
  7. ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี เกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ ความว่าอย่างไร ? ในขณะนั้น ท่านเป็นพระอริยบุคคลชั้นไหน ?
    ตอบ ความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ
    ในขณะเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน ฯ
  8. พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? ทรงเห็นประโยชน์อะไร จึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?
    ตอบ พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่กรุงราชคฤห์ เป็นแห่งแรก ฯ
    ทรงเห็นประโยชน์ว่า ทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่งและมีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ นั้น ล้วนมีคนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ
  9. พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชฎิล ๓ พี่น้องพร้อมบริวารโดยบังเอิญหรือโดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน ? มีหลักฐานสนับสนุนคำตอบนั้นอย่างไร ?
    ตอบ โดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน ฯ
    มีหลกัฐานปรากฏว่า ในครั้งที่ทรงส่งพระสาวก ๖๐ องคแ์รกไปประกาศ พระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ ทรงมีพระดำรัสว่า “แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” ฯ
  10. ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพคืออะไรบ้าง ? ที่สุดโต่งนั้น มีโทษอย่างไร ?
    ตอบ ที่สุดโต่ง คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค ๒. อัตตกิลมถานุโยค ฯ มีโทษดังนี้
    กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะ คือ ผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
    อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์ แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ
  11. “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ใครเป็นผู้ถาม ใครเป็นผู้ตอบ ? และตอบว่าอย่างไร ?
    ตอบ พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ ฯ
    ตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ
  12. พระอัสสชิเถระแสดงธรรมโดยย่อแก่อุปติสสปริพาชก ความว่าอย่างไร ? และได้ผลอย่างไร ?
    ตอบ มีใจความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้ ฯ
    อุปติสสปริพาชกได้ฟังแล้ว ได้ธรรมจักษุมีดวงตาเห็นธรรม ฯ
  13. พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระสาวกองค์ใดว่า “ไม่ทำศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูลให้เสีย” ? และทรงอุปมาเปรียบเทียบว่าอย่างไร ?
    ตอบ ทรงสรรเสริญพระโมคคัลลานะ ฯ
    ทรงอุปมาว่า “ประหนึ่งแมลงผึ้งอันเที่ยวไปในสวนดอกไม้ไม่ทำสีและกลิ่นของดอกไม้ให้ช้ำ ถือเอาแต่รสบินไป ฉะนั้น ” ฯ
  14. “สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็นคำพูดของใคร ? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร ?
    ตอบ เป็นคำพูดของทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ
    ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ
  15. พระมหากัสสปะกับพระรัฐบาล ออกบวชเพราะมีความคิดเห็นต่างกันอย่างไร ?
    ตอบ พระมหากัสสปะ ออกบวชเพราะคิดเห็นว่า ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี มีใจเบื่อหน่าย จึงสละสมบัติแล้วออกบวช
    พระรัฐบาล ออกบวชเพราะมีความคิดเห็นตามธรรมุเทศ ๔ ข้อ ที่พระศาสดาทรงแสดงว่า
    ๑) โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นำ ๆ เข้าไปใกล้ไม่ยั่งยืน
    ๒) โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน
    ๓) โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
    ๔) โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่รู้จักอิ่มเป็นทาสแห่งตัณหา ฯ
  16. พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตร เพราะเห็นอำนาจประโยชน์อย่างไร ?
    ตอบ เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่าง คือ
    ๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน
    ๒. เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลังจะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่งคนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้าได้ประพฤติอย่างนี้เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่เขาเอง ฯ
  17. พระพุทธโอวาท ๓ ข้อ ที่ทรงประธานแก่พระมหากัสสปะว่าอย่างไร ? จัดเข้าในการอุปสมบทวิธีใด ?
    ตอบ พระโอวาท ๓ ข้อว่าดังนี้
    ๑) กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่าเราจักเข้าไปตั้งความละอายและความยำเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นปานกลาง อย่างแรงกล้า
    ๒) เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยโสตฟังธรรมั้น พิจารณาเนื้อความ
    ๓) เราจักไม่ละสติเป็นไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ
    จัดเข้าในเอหิภิกขุอุปสมบทวิธี ฯ
  18. พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า "สิ่งใดเป็นมาร ท่านจงละความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้นเสีย" มารในที่นี้หมายถึงอะไร ?
    ตอบ มาร หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
  19. พระภัททิยเถระ มักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า "สุขหนอๆ" ดังนี้ เพราะเหตุไร ?
    ตอบ เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้องกันทั้งในวังนอกวัง ทั้งในเมืองนอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้องหวาดระแวงสะดุ้งกลัวอยู่เป็นนิตย์ ครั้นทรง ออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวาย มีใจปลอดโปร่ง เป็นอิสระแก่ตน จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ
  20. อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร ?
    ตอบ อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยความกรุณา ปรารถนาคุณประโยชน์อยู่เป็นนิตย์ แม้ในบุคคลที่ทำผิดต่อพระองค์ มีพระเทวทัตเป็นต้น ก็ยังทรงกรุณา
    ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั่งสอนสัตว์ด้วยข้อปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ
  21. พระสารีบุตรปรินิพพานที่ไหน ? ท่านเลือกสถานที่นั้นเพราะเหตุไร ?
    ตอบ พระสารีบุตรปรินิพพาน ที่นาลันทคาม แคว้นมคธ ฯ
    เพราะตั้งใจจะโปรดนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาของท่าน ให้พ้นจากมิจฉาทิฏฐิก่อนที่ท่านจะปรินิพพาน ฯ
  22. ถูปารหบุคคล คือใคร ? มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
    ตอบ ถูปารหบุคคล คือ บุคคลผู้ควรแก่การสร้างสถูปไว้ประดิษฐาน ฯ
    มี ๔ ประเภท ฯ ได้แก่
    ๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ๒) พระปัจเจกพุทธเจ้า
    ๓) พระอรหันตสาวก
    ๔) พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
  23. อายุสังขาราธิษฐานกับการปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร ? พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ไหน ?
    ตอบ อายุสังขาราธิษฐาน หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระหฤทัยว่า จักดำรง พระชนม์อยู่แสดงธรรมสั่งสอนมหาชน จนกว่าพุทธบริษัทจะตั้งมั่น และได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลายมั่นคงสำเร็จประโยชน์แก่มหาชน ฯ พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ต้นอชปาลนิโครธ ใกล้สถานที่ตรัสรู้ ฯ
    การปลงอายุสังขาร หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวันปรินิพพาน นับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน ฯ พระพุทธเจ้าทรงกระทำที่ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ
  24. อภิญญาเทสิตธรรม มีอะไรบ้าง ? ทรงแสดงแก่ใคร ? ที่ไหน ?
    ตอบ อภิญญาเทสิตธรรม ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ฯ
    ทรงแสดงแก่ภิกษุสงฆ์ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ฯ
    ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ฯ
  25. พระสาวกผู้ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะหลายอย่างกว่าสาวกรูปอื่นคือใคร ? เป็นเอตทัคคะในทางใดบ้าง ?
    ตอบ คือ พระอานนท์ ฯ
    เอตทัคคะในทางดังนี้
    ๑) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นพหูสูต
    คือ การได้ยินมากได้ฟังมาก
    ๒) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีคติ
    คือ เป็นผู้รู้จักหลักการในการเรียนรู้
    ๓) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีสติ
    คือ มีความจำเป็นเลิศ
    ๔) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่มีธิติ
    คือ เป็นผู้มีความมั่นคง มีความเพียรในการเรียน
    ๕) เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นอุปัฏฐาก ฯ
  26. ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน ? ก. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
    ข. พระเขมาเถรี
    ค. พระอุบลวัณณาเถรี
    ง. พระปฏาจาราเถรี
    จ. พระธัมมทินนาเถรี

    ตอบ ก. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญู
    ข. พระเขมาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญา
    ค. พระอุบลวัณณาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์
    ง. พระปฏาจาราเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัย
    จ. พระธัมมทินนาเถรี ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก ฯ
  27. ในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระพุทธสรีระส่วนใดยังคงเหลืออยู่ ?
    ตอบ พระอัฐิ พระเกสา พระโลมา พระนขา พระทันตา เหลืออยู่ นอกนั้นถูกเพลิงไหม้หมดสิ้น ฯ
  28. สุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร ? และทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา ?
    ตอบ ว่า “เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระสมณะนั้น บัดนี้ เราพอใจจะทำสิ่งใดก็ทำ หรือ มิพอใจทำสิ่งใดก็ไม่ต้องทำ” ฯ
    เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ฯ
  29. พระมหากัสสปะเถระชักชวนภิกษุทั้งหลายให้ทำสังคายนาครั้งแรก เพราะปรารภเหตุอะไร ?
    ตอบ เพราะปรารภเหตุ ๒ ประการ คือ
    ๑. ระลึกถึงคำของสุภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย
    ๒. ระลึกถึงอุปการคุณของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่แก่ตน ฯ
  30. พุทธเจดีย์มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? พระพุทธรูป สงเคราะห์เข้าในเจดีย์ประเภทใด ?
    ตอบ พุทธเจดีย์ มี ๔ ประเภท ฯ
    คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และ อุทเทสิกเจดีย์ ฯ
    พระพุทธรูปสงเคราะห์เข้าในอุทเทสิกเจดีย์ ฯ