เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นตรี วิชาธรรมวิภาค ปี 2567

เก็งข้อสอบนักธรรมชั้นตรี วิชาธรรมวิภาค ปี 2567,เก็งข้อสอบวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี ปี 2567




  ติวเข้มเตรียมสอบธรรมสนามหลวง
  นักธรรมชั้นตรี วิชาธรรมวิภาค
  ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗
  มีทั้งหมด ๔๐ ข้อดังนี้ครับ

๑. สติ แปลว่าอะไร ?  เพราะเหตุไรจึงชื่อว่าเป็นธรรมมีอุปการะมาก ?
ต/ สติ แปลว่า ความระลึกได้ ฯ
เพราะป้องกันความเสียหาย และอุดหนุนให้สําเร็จกิจในทางที่ดี ฯ

๒. คนที่ทำอะไรมักพลั้งพลาด เพราะขาดธรรมอะไ ?
ต/ เพราะขาดธรรมมีอุปการะมาก มี ๒ อย่าง ได้แก่
๑) สติ คือ ความระลึกได้
๒) สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว ฯ

๓. สติสัมและสัมปชัญญะ ที่ว่ามีอุปการะมากนั้น เพราะเหตุไร ?
ต/ เพราะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการทำกิจการงานใด ๆ และเป็นอุปการะให้ธรรมเหล่าอื่นเกิดขึ้น ฯ

๔. โลกเดือดร้อนวุ่นวายในปัจจุบันนี้ เพราะขาดธรรมอะไร ?
ต/ เพราะขาดธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง คือ
๑) หิริ ความละอายบาป
๒) โอตตัปปะ ความกลัวบาป ฯ

๕. พบงูพิษแล้วสดุ้งกลัวว่าจะถูกกัด จัดเป็นโอตตัปปะได้หรือไม่ ?  เพราะเหตุใด ?
ต/ จัดเป็นโอตตัปปะไม่ได้ ฯ
เพราะโอตตัปปะ หมายความว่าความเกรงกลัวต่อบาป ฯ

๖. หิริและโอตตัปปะได้ชื่อว่า ธรรมเป็นโลกบาล เพราะเหตุไร ?
ต/ เพราะเป็นคุณธรรมที่ทำให้บุคคลรังเกียจและเกรงกลัวต่อบาปทุจริต ไม่กล้าทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ฯ

๗. ธรรมที่ทำให้บุคคลงาม คืออะไร ?
ต/ ธรรมที่ทำให้บุคคลงาม คือ ขันติ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม ฯ

๘. ในทางโลกดูคนงามกันที่หน้าตา ในทางพระพุทธศาสนา ท่านให้ดูคนงามที่ไหน ?
ต/ ในทางพระพุทธศาสนา ให้ดูคนงามกันที่มีคุณธรรมอันทำให้งาม ๒ ประการ คือ
๑) ขันติ คือ ความอดทน
๒) โสรัจจะ คือ ความสงบเสงี่ยม ฯ

๙. พระพุทธเจ้าคือใคร ?  ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์อย่างไร ?
ต/ คือ ท่านผู้สอนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้วยกายวาจาใจตามพระธรรมวินัย ฯ
ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบัติ ฯ

๑๐. พระธรรม คืออะไร ?  มีคุณต่อผู้ปฏิบัติอย่างไร ?
ต/ พระธรรม คือคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ฯ
มีคุณต่อผู้ปฏิบัติ คือรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ฯ

๑๑. โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ อย่างมีอะไรบ้าง ?
ต/ โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ อย่าง มี
๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชั่วทางกาย วาจา ใจ
๒. ประกอบสุจริต คือประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ
๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น ฯ

๑๒. ทุจริต คืออะไร ?  พูดใส่ร้ายผู้อื่นจัดเข้าในทุจริตข้อไหน ?
ต/ ทุจริต คือ ประพฤติชั่ว ประพฤติเสียหาย ฯ
จัดเข้าในวจีทุจริต ฯ

๑๓. เห็นผิดจากคลองธรรม คือเห็นอย่างไร ?  จัดเข้าในทุจริตข้อไหน ?
ต/ คือเห็นผิดจากความเป็นจริง เช่น เห็นว่าบุญบาปไม่มี บิดามารดาไม่มีพระคุณ เป็นต้น ฯ
จัดเข้าในมโนทุจริต ฯ

๑๔. ที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ เรียกว่าอะไร ?  โดยย่อมีอะไรบ้าง ฯ
ต/ เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ฯ
โดยย่อมี ๓ คือ
๑. ทานมัย บุญสําเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสําเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสําเร็จด้วยการเจริญภาวนา ฯ

๑๕. ภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ควรเว้นอันตราย ๔ อย่าง คืออะไรบ้าง ?
ต/ เว้นอันตราย ๔ อย่างได้แก่
๑. อดทนต่อคำสอนไม่ได้ คือเบื่อหน่ายต่อคำสั่งสอนขี้เกียจทำตาม
๒. เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง
๓. เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
๔. รักผู้หญิง ฯ

๑๖. ธรรมเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ คืออะไร ?  มีอะไรบ้าง ?
ต/ คือ อิทธิบาท ๔ ฯ มี
๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น
๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ
๔. วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น ฯ

๑๗. คุณธรรมเป็นเครื่องอยู่ของท่านผู้ใหญ่เรียกว่าอะไร ?  มีอะไรบ้าง ?
ต/ เรียกว่า พรหมวิหาร ฯ มี
๑. เมตตา ความรักปรารถนาจะให้อยู่เป็นสุข
๒. กรุณา ความสงสาร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์
๓. มุทิตา ความพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี
๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ ฯ

๑๘. เมื่อเพื่อนร่วมงานได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่คิดริษยา พลอยยินดีกับเขาด้วย ชื่อว่าปฏิบัติ ตามพรหม วิหารธรรมข้อใด ?
ต/ ข้อ ๓ มุทิตา คือ ความพลอยยินดี ฯ

๑๙. บุคคลผู้รักษาความยุติธรรมไว้ได้ ควรเว้น จากธรรมอะไร ?  ธรรมนั้นมีอะไรบ้าง ?
ต/ ควรเว้นจากอคติ ๔ ฯ มี
๑. ความลำเอียงเพราะรักใคร่กัน เรียกว่า ฉันทาคติ
๒. ความลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน เรียกว่า โทสาคติ
๓. ความลำเอียงเพราะเขลา เรียกว่า โมหาคติ
๔. ความลำเอียงเพราะกลัว เรียกว่า ภยาคติ ฯ

๒๐. ธรรมดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ เรียกว่าอะไร ?  มีอะไรบ้าง ?
ต/ เรียกว่า จักร ๔ ฯ ได้แก่
๑) ปฏิรูปเทสวาสะ คือ อยู่ในประเทศอันสมควร
๒) สัปปุริสูปัสสยะ คือ คบสัตบุรุษ
๓) อัตตสัมมาปณิธิ คือ ตั้งตนไว้ชอบ
๔) ปุพเพกตปุญญตา คือ ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในปางก่อน ฯ

๒๑. กรรมอันเป็นบาปหนักที่สุด ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน คือกรรมอะไร ?  มีอะไรบ้าง ?
ต/ คือ อนันตริยกรรม ฯ มี
๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป
๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน ฯ

๒๒. ธรรมอันเป็นเครื่องกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี คืออะไร ?  มีอะไรบ้าง ?
ต/ คือ นิวรณ์ ๕ ฯ มี
๑. กามฉันท์ พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป เป็นต้น
๒. พยาบาท คิดปองร้ายผู้อื่น
๓. ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ
๕. วิจิกิจฉา ความลังเลไม่ตกลงใจ ฯ

๒๓. ขันธ์ ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ?  สังขารขันธ์จัดเป็นรูปหรือนาม ?
ต/ ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ฯ สังขารขันธ์จัดเป็นนาม ฯ

๒๔. ขันธ์ ๕ สามารถย่อเป็น ๒ ได้อย่างไร ?
ต/ ขันธ์ ๕ ย่อเป็น ๒ อย่างนี้ คือ
๑) รูปขันธ์ คงเป็นรูป
๒) เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์ ๔ ขันธ์นี้ เป็นนาม ฯ

๒๕.  ธรรมเป็นกำลัง ๕ อย่าง คืออะไรบ้าง ?
ต/  ธรรมเป็นกำลัง ๕ อย่าง คือ
 ๑. สัทธา ความเชื่อ
 ๒. วิริยะ ความเพียร
 ๓. สติ ความระลึกได้
 ๔. สมาธิ ความตั้งใจมั่น
 ๕. ปัญญา ความรอบรู้ ฯ

๒๖. อานิสงส์การฟังธรรม มีอะไรบ้าง ?
ต/ อานิสงส์การฟังธรรมมี
๑. ผู้ฟังธรรมย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
๒. สิ่งใดได้เคยฟังแล้ว แต่ไม่เข้าใจชัด ย่อมเข้าใจสิ่งนั้นชัด
๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้
๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้
๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส ฯ

๒๗. สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาเนือง ๆ มีอะไรบ้าง ?  ทรงให้พิจารณาอย่างไร ?
ต/ มี ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความพลัดพราก และกรรม ฯ
ทรงสอนให้พิจารณาว่า
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
๔. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
๕. เรามีกรรมเป็นของตัวเรา ทำดีจักได้ดีทำชั่วจักได้ชั่ว ฯ

๒๘. คารวะ คืออะไร ?  มีกี่อย่าง ?  ข้อว่า คารวะในการศึกษา หมายถึงอะไร ?
ต/ คารวะ คือ ความเคารพ เอื้อเฟื้อ ฯ
มี ๖ อย่าง ฯ
คารวะในการศึกษา หมายถึง ความเคารพเอื้อเฟื้อในไตรสิกขา ฯ

๒๙. อายตนะภายนอก ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ?
ต/ อายตนะภายนอก ๖ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ที่มาถูกต้องกาย, ธรรม คืออารมณ์ที่เกิดกับใจ ฯ

๓๐. อินทรีย์ ๖ กับอารมณ์ ๖ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ?
ต/ มีความสัมพันธ์กันอย่างนี้
ตา  เป็นใหญ่ในการเห็น อารมณ์คือรูป
หู  เป็นใหญ่ในการฟัง อารมณ์คือเสียง
จมูก  เป็นใหญ่ในการสูดดม อารมณ์คือกลิ่น
ลิ้น  เป็นใหญ่ในการลิ้ม อารมณ์คือรส
กาย  เป็นใหญ่ในการถูกต้อง อารมณ์คือโผฏฐัพพะ
ใจ  เป็นใหญ่ในการรู้ อารมณ์คือธรรม

๓๑. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือเจรจาอย่างไร ?
ต/ เจรจาชอบ คือ เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ และเว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ฯ

๓๒. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ คือทำอย่างไร ?
ต/ การงานชอบ คือ ทำโดยเว้นจากกายทุจริต ๓ ได้แก่
เว้นจากการฆ่าสัตว์
เว้นจากการลักทรัพย์
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ฯ

๓๓. ในมละ ๙ ศิษย์ได้ดีแล้วทำมึนตึงกับอาจารย์จัดเข้าในมละอย่างไหน ?  และควรชำระมละอย่างนั้นด้วยธรรมอะไร ?
ต/ จัดเข้าใน มักขะ ลบหลู่คุณท่าน ฯ
ควรชำระด้วยกตัญญูกตเวทิตา ความรู้คุณท่านแล้วตอบแทน ฯ

๓๔. ศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นนิตย์ คือศีลอะไร ?  ได้แก่อะไรบ้าง ?
ต/ คือ ศีล ๕ ฯ ได้แก่
๑. เว้นจากทําชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
๒. เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย
๓. เว้นจากประพฤติผิดในกาม
๔. เว้นจากพูดเท็จ
๕. เว้นจากดื่มน้ําเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ฯ

๓๕. การคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างไร ?
ต/ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างนี้ คือ มักจะถูกคนชั่วชักจูงไปในทางที่ชั่ว เช่น คนไม่เคยเป็นนักเลงหญิง ไม่ติดสุรา ไม่เล่นการพนัน ไม่เป็นอันธพาล ก็ย่อมถูกชักจูงไปจนกลายเป็นนักเลงหญิงได้ เป็นต้น ฯ

๓๖. ความสุขของผู้ครองเรือนตามหลักพระพุทธศาสนาเกิดมาจากเหตุอะไรบ้าง ?
ต/ เกิดจากเหตุ ๔ อย่าง คือ
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค
๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้
๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ฯ

๓๗. ฆราวาสผู้ครองเรือน ควรตั้งอยู่ในธรรมข้อใดบ้าง ?
ต/ ควรตั้งอยู่ในฆราวาสธรรม ๔ คือ
๑. สัจจะ สัตย์ซื่อต่อกัน
๒. ทมะ รู้จักข่มจิตของตน
๓. ขันติ อดทน
๔. จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน ฯ

๓๘. ศิษย์ที่ดีพึงปฏิบัติต่อครูอาจารย์อย่างไร ?
ต/ พึงปฏิบัติต่อท่านอย่างนี้ คือ
๑. ด้วยลุกขึ้นยืนรับ
๒. ด้วยเข้าไปยืนคอยรับใช้
๓. ด้วยเชื่อฟัง
๔. ด้วยอุปัฏฐาก
๕. ด้วยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ฯ

๓๙. บุตรธิดาพึงปฏิบัติต่อมารดาบิดาอย่างไร ?
ต/ พึงปฏิบัติต่อท่านอย่างนี้ คือ
๑. ท่านได้เลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบแทน
๒. ทํากิจของท่าน
๓. ดํารงวงศ์สกุล
๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรรับทรัพย์มรดก
๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทําบุญอุทิศให้ท่าน ฯ

๔๐. ผู้หวังประโยชน์ปัจจุบันจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้สมหวัง ?
ต/ ต้องปฏิบัติตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ คือ
๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ในการประกอบกิจการงานในการศึกษาเล่าเรียนในการทําธุระหน้าที่ของตน
๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาทั้งทรัพย์และการงานไม่ให้เสื่อมไป
๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว
๔. สมชีวิตา ความเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กําลังทรัพย์ที่หาได้ ฯ


⏏︎ ดาวน์โหลดเก็งข้อสอบ